ประวัติการเล่นเซปักตะกร้อ
1. ต้นกำเนิดและการละเล่นพื้นบ้าน
เซปักตะกร้อมีต้นกำเนิดและมีการเล่นแพร่หลายในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น:
- ประเทศไทย: มีการเล่นตะกร้อมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีหลักฐานภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว (สมัยรัตนโกสินทร์) เป็นภาพหนุมานกำลังเล่นตะกร้อ และมีการกล่าวถึงในวรรณคดีไทย
- พม่า (เมียนมา): เรียกการเล่นล้อมวงว่า “ชินลง” (Chinlone) ซึ่งเน้นการเตะลูกไม่ให้ตกพื้นและแสดงลีลาท่าทางต่างๆ
- มาเลเซีย: เรียกว่า “เซปัก รากา” (Sepak Raga) โดยคำว่า “รากา” หมายถึง ตะกร้าหรือลูกบอลหวาย
2. วิวัฒนาการสู่ตะกร้อข้ามตาข่าย (แบบไทย)
- พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929): กลุ่มบุคคลชาวไทย เช่น นายผล พลาสินธุ์ ได้ปรับปรุงวิธีการเล่นตะกร้อ โดยนำแนวคิดของกีฬาแบดมินตันมาปรับใช้ ทำให้เกิดการเล่น “ตะกร้อข้ามตาข่าย” (คล้ายวอลเลย์บอลที่ใช้เท้า) ขึ้น โดยมีการจัดการแข่งขันเป็นครั้งแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. การรวมกันและกำเนิด “เซปักตะกร้อ” สากล
- พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965): เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน กีฬาแหลมทอง (SEAP Games) ครั้งที่ 3 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้บรรจุกีฬาตะกร้อเข้าแข่งขันอย่างเป็นทางการ
- การตั้งชื่อสากล: เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ได้มีการนำภาษาของสองชาติมารวมกัน โดยใช้คำว่า “เซปัก” (Sepak – ภาษามาเลเซีย แปลว่า “เตะ”) รวมกับ “ตะกร้อ” (Takraw – ภาษาไทย หมายถึง “ลูกบอลหวาย”) กลายเป็น “เซปักตะกร้อ” (Sepak Takraw)
- การกำหนดกติกา: กีฬาเซปักตะกร้อสากลได้ยึดรูปแบบการเล่นและสนามแข่งขันของมาเลเซียเป็นพื้นฐาน โดยนำอุปกรณ์และขนาดความสูงของตาข่ายจากประเทศไทยมาใช้ร่วมด้วย
4. การเผยแพร่ในระดับนานาชาติ
- เซปักตะกร้อถูกบรรจุในมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง เช่น ซีเกมส์ (Sea Games) และ เอเชียนเกมส์ (Asian Games)
- มีการก่อตั้ง สหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ (ISTAF – International Sepaktakraw Federation) เพื่อกำกับดูแลและกำหนดกติกาการแข่งขันในระดับโลก
กติกาการเล่นเซปักตะกร้อ (โดยละเอียดตาม ISTAF)
เซปักตะกร้อที่แข่งขันในปัจจุบันมักเป็นประเภททีมเดี่ยว (Regu) 3 คน หรือประเภททีมชุด (ประกอบด้วย 3 ทีมเดี่ยว)
1. สนามแข่งขันและอุปกรณ์
2. ผู้เล่นและตำแหน่ง
- ประเภททีมเดี่ยว (Regu): ผู้เล่น คน (ตัวจริง) และสำรอง คน
- ผู้เล่นหลัง (Back): หรือ ตัวเสิร์ฟ ยืนอยู่ในวงกลมเสิร์ฟ
- ผู้เล่นหน้า (Front) ซ้ายและขวา: หรือ ตัวชง/ตัวทำ ยืนอยู่ในเสี้ยววงกลมด้านหน้า
3. การเสี่ยงและการอบอุ่นร่างกาย
- ก่อนเริ่มการแข่งขัน จะมีการ เสี่ยง (ทายเหรียญ)
- ทีมที่ชนะการเสี่ยงจะได้เลือก “แดน” หรือ “เสิร์ฟ” ก่อน
- ทีมที่ได้เสิร์ฟจะได้สิทธิ์อบอุ่นร่างกายก่อน เป็นเวลา นาที
4. การเริ่มเล่นและการเสิร์ฟ (Service)
- ผู้โยน (Feeder): ผู้เล่นหน้าซ้ายหรือขวาจะเป็นคนโยนลูกตะกร้อให้ตัวเสิร์ฟ
- ผู้เสิร์ฟ (Server): ต้องวางเท้าหลัก (ข้างใดข้างหนึ่ง) อยู่ในวงกลมเสิร์ฟ และห้ามยกเท้าหรือลากเท้าขณะเสิร์ฟ
- การเสิร์ฟ: ผู้เสิร์ฟจะต้องเตะลูกตะกร้อขณะที่ผู้โยนโยนลูกให้ ในการเสิร์ฟ ลูกตะกร้อต้องข้ามตาข่ายและตกลงในแดนฝ่ายตรงข้าม จึงจะถือว่าเป็นการเสิร์ฟที่ถูกต้อง
5. การเล่นลูกและการทำผิดกติกา (Faults)
- การสัมผัสลูก: ผู้เล่นสามารถใช้ เท้า, เข่า, หน้าอก, และศีรษะ ในการเล่นลูก (ห้ามใช้มือหรือแขน)
- จำนวนครั้ง: ผู้เล่นในทีมสามารถสัมผัสลูกได้ ไม่เกิน ครั้ง ก่อนข้ามตาข่ายไปแดนฝ่ายตรงข้าม
- การผิดกติกาที่พบบ่อย (Faults):
- ลูกตะกร้อ ถูกมือหรือแขน ของผู้เล่น
- ลูกตะกร้อ ตกพื้น ในแดนของตนเอง
- ผู้เล่น เล่นลูกเกินกว่า ครั้ง
- ผู้เล่น เหยียบเส้น หรือ กระโดดเสิร์ฟ ขณะเตะลูก
- ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรืออุปกรณ์ ถูกตาข่าย หรือ ล้ำเข้าไปในแดนฝ่ายตรงข้าม (ยกเว้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องหลังการเล่นลูก)
6. การนับคะแนนและการชนะเซต (Scoring System)
- ระบบคะแนน: ใช้ระบบ แรลลี่พอยต์ (Rally Point) คือ ทีมที่ได้คะแนนจะได้สิทธิ์เสิร์ฟลูกต่อไปทันที ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเสิร์ฟก่อนหน้าหรือไม่ก็ตาม
- การชนะเซต:
- ทีมที่ทำคะแนนได้ คะแนน ก่อน และมีคะแนนนำห่างอย่างน้อย คะแนน จะเป็นผู้ชนะในเซตนั้น
- ถ้าคะแนนเท่ากันที่ (ดิวส์) จะต้องแข่งขันต่อ ทีมใดที่ถึง คะแนน ก่อน จะเป็นผู้ชนะในเซตนั้น
- จำนวนเซต:
- ทีมเดี่ยว (Regu): ชนะ ใน เซต โดยเซตที่ (ไทเบรก) จะเล่นเพียง คะแนน และเมื่อถึง คะแนน ให้ทำการสลับแดน
- ทีมชุด (Team): ชนะ ใน ทีมเดี่ยว
7. การขอเวลานอก (Time-Out)
- แต่ละทีมสามารถขอเวลานอกได้ เซตละ ครั้ง ครั้งละ นาที โดยต้องขอขณะที่ลูกตะกร้อไม่ได้อยู่ในการเล่น